การเขียนเรียงความ
การเขียนเรียงความ
ในการเขียนเรียงความเรามักประสบปัญหาว่า
จะเขียนอะไรบ้างเขียนอย่างไรจึงจะเป็นเรียงความที่ดี
ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับส่วนประกอบในการเขียน
การใช้โวหารแนวปฏิบัติแต่ละขั้นตอน รวมทั้งการฝึกทักษะการเขียนอย่างสม่ำเสมอ
จะช่วยให้การเขียนเรียงความมีความน่าสนใจและน่าติดตามอ่านยิ่งขึ้น
1. ความหมายและองค์ประกอบของเรียงความ
เรียงความ
คือ ข้อความหลายย่อหน้าที่บรรยายหรืออธิบายเรื่อง
หรือความคิดเห็นอย่างไรอย่างหนึ่งประกอบด้วย หัวข้อ คำนำ(ความนำ)
เนื้อเรื่อง(ตัวเรื่อง) และสรุป(ความลงท้าย) แต่ถ้าพูดถึงองค์ประกบของเรียงความ
จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ คำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป
1.1
หัวข้อ คำนำ มีทั้งเรื่องที่ใกล้ตัวและไกลตัว เรื่องที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม
เรื่องที่เกี่ยวกับประสบการณ์โดยตรงของผู้เขียน เกี่ยวกับสังคม การเมือง เศรษฐกิจ
วัฒนธรม อาชีพ ธรรมชาติ ประสบการณ์ การดำเนินชีวิต เป็นต้น
1.2
คำนำ(ความนำ) เป็นส่วนเริ่มต้นของเรียงความ
นำหน้าที่นำเกริ่นเข้าสู่เนื้อเรื่องและปูพื้นฐานความเข้าใจให้แก่ผู้อ่าน
ความนำควรมีใจความรวบรัดไม่เยิ่นเย้อ และไม่ควรซ้ำกับส่วนสรุปเพราะคำนำจะช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านสนใจด้วยเนื้อเรื่องของเรียงความ
สิ่งที่ควรลีกเลี่ยงในการเขียนคำนำ ได้แก่
1.2.1
เริ่มต้นจากเรื่องไกลกินไป เช่น คำนำเรื่ององค์การยูเนสโก
ไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวถึงความล้มเหลวขององค์ยูเนสโก หรือบุคลากรในองค์กร
1.2.2
ใช้คำออกตัว เช่น การกล่าวในทำนาองนี้ไม่ควรกระทำ
1.2.3
ลงความเห็นกว้างเกินไป เช่น คำนำเรื่อง “การเปลี่ยนแปลงของภาษาไทย” ไม่ควรใช้คำว่า
ภาษาไทยในรอบ 20 ปี ที่ผ่านมาได้ก้าวหน้าและเปลี่ยนแปลงไปสัมพันธ์กับวิชาอื่นๆ
ควรใช้คำนำที่กระชับรัดกุม เช่น
การเปลี่ยนแปลงของภาษาไทยมีการพัฒนาอย่างเป็นระยะๆอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านเสียง
ความหมายและหลักไวยากรณ์ของไทยอย่างงดงาม
1.2.4
คำกล่าวที่เป็นความจริงในตัวเองอยู่แล้ว เช่น “เป็นที่กล่าวกันว่า
สิ่งที่แน่นอนในชีวิตมนุษย์มีอย่างเดียวเท่านั้น คือ ความไม่แน่นอน”
1.3
เนื้อเรื่อง(ตัวเรื่อง) เป็นข้อความต่อจากคำนำ
ทำหน้าที่ขยายใจความของคำนำให้ละเอียดแจ่มแจ้ง
ย่อหน้าเนื้อเรื่องอาจมีได้หลายย่อหน้า มากน้อยสุดแต่เนื้อเรื่อง
ในการเขียนเรียงความโดยทั่วไปควรกำหนดจุดประสงค์ในการเขียน เพื่อช่วยให้กำหนดขอบเขตของหัวข้อเรียงความให้ชัดเจน
นอกจากนี้ก่อนลงมือเขียนควรมีการวางโครงเรื่อง
เพื่อช่วยให้เนื้อหาเรียงความมีเอกภาพไม่ออกนอกเรื่องและสามารถนำเสนอความคิดได้เป็นลำดับ
ไม่สับสน
1.4
สรุป(ความลงท้าย) เป็นข้อความย่อหน้าสุดท้ายทำหน้าที่ปิดเรื่องชี้ให้เห็นสาระสำคัญที่สุดของเรื่อง
และยังทำหน้าที่สนองจุดประสงค์ของผู้เขียนให้แจ่มชัด โดยมีความยาวใกล้เคียงกับคำนำ
วิธีการเขียนบทสรุป มีดังนี้
1.4.1
สังเขปความทั้งหมดที่นำเสนอในโครงเรื่องอย่างย่อให้ได้สาระสำคัญอย่างชัดเจน
1.4.2
นำส่วนสำคัญที่สุดของตัวเรื่องมากล่าวย้ำเพื่อสะกิดในผู้อ่าน
1.4.3
เลือกสุภาษิต คำคมหรือคำกล่าวที่น่าเชื่อถืออื่นๆมาเป็นส่วนสรุป
1.4.4
ฝากข้อคิดแก่ผู้อ่านเพื่อให้นำไปคิดหรือปฏิบัติเมื่อมีโอกาส
1.4.5
ทิ้งคำถามให้ผู้อ่านใคร่ครวญต่อไปโดยไม่จำเป็นต้องเสนอข้อยุติ
2. จุดประสงค์ของการเขียนเรียงความ มี 4 ประเภท
2.1
เพื่อโน้มน้าวใจผู้อ่านให้เชื่อถือหรือคล้อยตามแนวคิดของผู้เขียน
2.2
เพื่อให้ข้อเท็จจริงแก่ผู้อ่าน
2.3
เพื่อให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน
2.4
เพื่อส่งเสริมให้ผู้อ่านใช้ความคิดของตนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
3. โวหารในการเขียน
โวหาร
หมายถึง วิธีการเขียนเรียบเรียงข้อความให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง
โวหารที่ใช้ในการเขียนเรียงความ ได้แก่ พรรณนาโวหาร บรรยายโวหาร อุปมาโวหาร
เทศนาโวหาร เทศนาโวหาร สาธกโวหารและอธิบายโวหาร
3.1
พรรณนาโวหาร หมายถึง การเรียบเรียงข้อความโดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับบุคคล สิ่งของ
ธรรมชาติ สภาพแวดล้อม ตลอดจนความรู้สึกต่างๆของผู้เขียน
โดยเน้นให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วมกับผู้เขียน
“
สมใจเป็นสาวงามที่มีลำแขนขาวผ่องทั้งกลมเรียวและอ่อนหยัด
ผิวขาวละเอียดเช่นเดียวกับแขน ประกอบด้วยหลังมืออวบนูน นิ้วเล็กเรียว
หลังเล็บมีสีดังกลีบดอกบัวแรกแย้ม”
3.2
บรรยายโวหาร หมายถึง
การเขียนอธิบายหรือบรรยายเหตุการณ์ที่เป้ฯข้อเท็จจริงตามลำดับเหตุการณ์
เป็นการเขียนตรงไปตรงมา ไม่เยิ่นเย้อ มุ่งความชัดเจนเพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้
ความเข้าใจ เช่น การเขียนเล่าเรื่อง เล่าเหตุการณ์ การเขียนรายงาน
เขียนตำราและเขียนบทความ
“ช้างยกขาหน้าให้ควาญเหยียบขึ้นนั่งบนคอ
ตัวมันสูงใหญ่ ใบหูไหวพะเยิบ หญิงบนเรือนลงบันไดมาข้างล่าง
เธอชูแขนยื่นผ้าขาวม้าและข้าวห่อใบตองขึ้นมาให้เขา”
3.3
อุปมาโวหาร หมายถึงการเขียนเป็นสำนวนเปรียบเทียบที่มีความคล้ายคลึงกัน
เพื่อทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น
โดยการเปรียบเทียบสิ่งของที่เหมือนกัน เปรียบเทียบโดยโยงความคิดไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง
หรือเปรียบเทียบข้อความตรงกันข้ามหรือข้อความที่ขัดแย้งกัน
“ อันว่าแก้วกระจกรวมอยู่กับสุวรรณ
ย่อมได้แสงจับเป็นเลื่อมพรายคล้ายมรกต ผู้ที่โง่เขลาแม้ได้อยู่ใกล้นักปราชญ์
ก็อาจเป็นคนเฉลียวฉลาดได้ฉันเดียวกัน”
3.4
เทศนาโวหาร หมายถึง การเขียนอธิบาย ชี้แจงให้ผู้อ่านเข้าใจ
ชี้ให้เห็นประโยชน์หรือโทษของเรื่องที่กล่าวถึง เป็นการชักจูงให้ผู้อื่นคล้อยตาม
เห็นด้วยหรือเพื่อแนะนำสั่งสอนปลุกใจหรือเพื่อให้ข้อคิดคติเตือนใจผู้อ่าน
“ การทำความดีนั้น เมื่อทำแล้วก็แล้วกัน
อย่าได้นำมาคิดถึงบ่อย ราวกับว่าการทำความดีนั้นช่างยิ่งใหญ่นัก
ใครก็ทำไม่ได้เหมือนเรา
ถ้าคิดเช่นนั้นความดีนั้นก็จะเหลือเพียงครึ่งเดียวแต่ถ้าทำแล้วก็ไม่น่านำมาใส่อีก
คิดแต่จะทำอะไรต่อไปอีกจึงจะดี จึงจะเป็นความดีทีสมบูรณ์ ไม่ตกไม่หล่น”
3.5
สาธกโวหาร หมายถึง การหยิบตัวอย่างมาอ้างอิงประกอบการอธิบายเพื่อสนับสนุนข้อความที่เขียนไว้ให้ผู้อ่านเข้าใจ
และเกิดความเชื่อถือ
“ อำนาจความสัตย์เป็นอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์
ไม่เพียงแต่จับหัวใจคน แม้แต่สัตว์ก็ยังมีความรู้สึกในความสัตย์ซื่อ
เมื่อกวนอูตายแล้ว ม้าของกวนอูก็ไม่ยอมกินหญ้ากินน้ำและตายตามเจ้าของไปในไม่ช้า
ไม่ยอมให้หลังของมันสัมผัสกับผู้อื่นนอกจากนายของมัน”
3.6
แบบอธิบาย หมายถึง
การชี้แจงให้ผู้อ่านทราบและเกิดความกระจ่างแจ่มแจ้งในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือวิธีการใดวิธีการหนึ่ง
เช่น การอธิบายโทษของยาเสพติด วิธีทำกับข้าว ปัญหาสังคม การจราจร คำอธิบายร้อยกรอง
งานอดิเรก เป็นต้น
“ คำว่า สลัด เป็น ภาษามลายู หมายความว่า
ช่องแคบในทะเล ชาวมลายูซึ่งอยู่ตามชายฝั่งทะเลตอนช่องแคคบมะละกาในสมัยโบราณ
มักประพฤติตนเป็นโจร คอยดักปล้นเรือสำเภาที่แล่นผ่านช่องแคบมะละกา
ถ้าเรือสำเภาลำใดใบไม่ติดลมในคราวลมอับก็ต้องลอยกลางทะเล ชาวทะเลที่อยู่บนฝั่งทะเลในช่องแคบ
ซึ่งเรียกว่า ชาวสลัด ก็ถือโอกาสยกพวกลงเรือเล็กมาล้อมตีปล้นเรือสำเภาลำนั้น คำว่า
สลัด จึงติดมาเป็นคำในภาษาไทย หมายความว่า โจรสมุทรหรือโจรทะเล”
4. ข้อแนะนำในการเขียนเรียงความ
4.1
เนื้อความในย่อหน้าต้องเสนอความคิดที่เป็นประเด็นเดียวกัน มีความเป็นเอกภาพ
และแต่ละย่อหน้าต้องมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์
เรียบเรียงตามลำดับความคิดเป็นเรื่องเดียวกัน
4.2
การเตรียมความรู้และความคิดในการเขียนเรียงความ
จำเป็นต้องเลือกเขียนเรียงความในเรื่องที่ตนเองมีความรู้และความสนใจ รวมทั้งมีข้อมูลในการเขียนมากที่สุด
4.3
การเลือกใช้ถ้อยคำ ควรคำนึงถึงความเหมาะสมของเรื่องที่จะเขียน มีการใช้โวหารประกอบ
ใช้ภาษาระดับทางการ ส่วนภาษาพูด คำทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ
คำย่อไม่ควรนำมาใช้ในการเขียนเรียงความ
4.4
กลไกในการเขียนเกี่ยวกับการเขียนตัวสะกดการันต์ การเว้นวรรคตอน
การเรียบเรียงถ้อยคำ การใช้ภาษา การเลือกสรรคำที่เหมาะสมและถูกต้อง
สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้งานเขียนเรียงความมีความงดงามและน่าติดตามอ่านจนจบ
ตัวอย่างแบบทดสอบ
ที่มา https://sites.google.com/site/khwamruphasathai/home/8-kar-kheiyn-reiyng-khwam